สำหรับคนทำงาน โดยเฉพาะผู้ประกันตนมาตรา 33 การปรับเพดานค่าจ้างประกันสังคม เป็นเรื่องสำคัญที่มีผลต่อ เงินเดือน–เงินสมทบ–สิทธิประโยชน์ ในชีวิตประจำวันของเรา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา ครม.ได้มีมติให้ปรับเพดานค่าจ้างใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพปัจจุบัน และเพิ่มความคุ้มครองให้ผู้ประกันตนมากขึ้น โดยยังคงอัตราเงินสมทบไว้ที่ 5% เท่าเดิม ดังนี้
1. ปี 2569–2571: เพดานค่าจ้าง 17,500 บาทต่อเดือน
2. ปี 2572–2574: เพดานค่าจ้าง 20,000 บาทต่อเดือน
3. ตั้งแต่ปี 2575 เป็นต้นไป: เพดานค่าจ้าง 23,000 บาทต่อเดือน
สำหรับระยะที่ 1 มีผลในช่วงปี 2569–2571 ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบเท่าไหร่?
- ฐานค่าจ้างสูงสุดเดิม 15,000 บาท → จ่าย 750 บาท/เดือน
- ฐานค่าจ้างใหม่ 17,500 บาท → จ่าย 875 บาท/เดือน
การปรับเพดานค่าจ้างระยะที่ 1 จะทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น ในหลายกรณี ได้แก่
- เงินทดแทนกรณีเจ็บป่วย สูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
- เงินทดแทนกรณีว่างงาน สูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
- เงินทดแทนกรณีทุพพลภาพ สูงสุด 7,500 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 8,750 บาทต่อเดือน
- เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 90,000 บาท เพิ่มเป็น 105,000 บาท
- เงินสงเคราะห์กรณีคลอดบุตร 22,500 บาทต่อครั้ง เพิ่มเป็น 26,250 บาทต่อครั้ง
- เงินบำนาญในกรณีส่งเงินสมทบครบ 15 ปี สูงสุด 3,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 3,500 บาทต่อเดือน และเงินบำนาญในกรณีส่งเงินสมทบครบ 25 ปี สูงสุด 5,250 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 6,125 บาทต่อเดือน
การปรับเพดานค่าจ้างประกันสังคมตั้งแต่ปี 2569 ทำให้ต้องส่งเงินสมทบเพิ่มขึ้น แต่ข้อดีคือ ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์สูงขึ้น ทั้งกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ว่างงาน คลอดบุตร เสียชีวิต และเงินบำนาญในอนาคต เป็นการปรับที่ช่วยให้ความคุ้มครองของประกันสังคมสอดคล้องกับค่าครองชีพ และให้ความมั่นคงยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้แรงงานและมนุษย์เงินเดือนในระยะยาว
ขอขอบคุณที่มาจาก